วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ คือ ?
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือ คอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์ก (อังกฤษ: computer network) คือระบบการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวนตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไป

การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะมีการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกัน เพื่อเพิ่มความสามารถของระบบให้สูงขึ้น และลดต้นทุนของระบบโดยรวมลง

การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกันในเครือข่าย ทำให้ระบบมีขีดความสามารถเพิ่มมากขึ้น การแบ่งการใช้ทรัพยากร เช่น หน่วยประมวลผล, หน่วยความจำ, หน่วยจัดเก็บข้อมูล, โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีราคาแพงและไม่สามารถจัดหามาให้ทุกคนได้ เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องกราดภาพ (scanner) ทำให้ลดต้นทุนของระบบลงได้
http://th.wikipedia.org/wiki


ประโยชน์ของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. การใช้ Hardware ร่วมกัน
ระบบเครือข่าย (Network) จะช่วยให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่อง Hardware ลงไปได้ ทั้งนี้เนื่องจากจะสามารถนำ Hardware บางประเภทมาใช้งานร่วมกันได้
Share Diskspace เป็นการใช้งานร่วมกันของเนื้อที่ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลซึ่งรวม Harddisk และ CD ROMS (Compact-Disk Read-Only Memory) ซึ่งจะใช้ Harddisk หรือ CD ROMS จาก เครื่องคอมพิวเตอร์ PC ที่เรียกว่า File Server โดย File Server นี้จะเป็นเครื่องที่ใช้ในการเก็บข้อมูล (Data) ของ User และ Software ของระบบทั้งหมด รวมทั้งควบคุมการทำงานของระบบ Network ด้วย

Share printer เครื่องพิมพ์เป็นอุปกรณ์ต่อพ่วง Peripherals ที่ใช้งานมากที่สุด โดยเฉพาะปัจจุบันมี Printer ราคาสูงเกิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะ Laser Printer และเครื่องพิมพ์สี (Color Printer) ซึ่งมีราคาแพงและจำเป็นต้องนำมาใช้งานร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนอกจากนั้นในกรณีที่เรานำเครื่องพิมพ์มาใช้งานระบบNetwork มากกว่า 1 เครื่อง เช่น Dot, Matrix, Laser, Printer,Color Ink Jet เป็นต้น ในการส่งงานไปพิมพ์นั้น และสามารถเลือกได้ว่าต้องการใช้งานเครื่องพิมพ์ชนิดใดได้ง่ายซึ่งทำให้การทำง่ายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

Share Communication Devices เป็นการนำอุปกรณ์สื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์มาใช้งานร่วมกันเช่น Modem ซึ่งใช้ในการเปลี่ยนถ่ายข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วยกันโดยอาศัยสายโทรศัพท์ นอกจาก Modem แล้วอุปกรณ์อีกอย่างหนึ่งที่สามารถใช้งานร่วมกันได้คือ FAXโดยสามารถที่จะทำการพิมพ์ข้อมูลที่ Workstation ส่วนตัว และส่งผ่านระบบ Network ไปที่เครื่อง FAX ได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องพิมพ์ลงกระดาษแล้วเดินไปส่ง FaX ที่เครื่อง FAX อื่น ๆอีก

2. การใช้ Software ร่วมกัน
Software ทีใช้งานบนระบบ Network แบ่งออกเป็น Software Packages และ Data เมื่อใช้ระบบ Network จะสามารถที่จะนำเอา Software ทั้ง 2 ชนิด มาใช้งานร่วมกันได้

Share Software Packages ในปัจจุบันสิ่งที่เป็นปัญหาอยู่คือ เรื่องของลิขสิทธิ์ทาง Software ถ้ามีเครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) แต่ละเครื่องใช้งานแยกกันอยู่ ก็จำเป็นที่จะต้องซื้อ Software ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายมาใช้งาน นั่นคือ 1 ชุดต่อ 1 เครื่อง รวมทั้งยังต้องคอยระวังในเรื่องของการ Copy Software มาใช้งานเองของ User แต่ละคนด้วย การนำระบบ Network มาใช้งานจะช่วยลดปัญหาของการทำผิดกฎหมายทางด้านลิขสิทธิ์ได้ นอกจานนั้น Software ที่ใช้งานระบบ Network จะมีความคล่องตัวกว่า Software บน เครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการ Maintain หรือการซ่อมบำรุงปรับปรุง Software ให้ถูกต้อง เช่น มีรุ่นที่ Update มาใหม่ จะสามารถติดตั้งและ Upgrade software ทั้ง 10 เครื่อง ซึ่งเสียเวลามาก

นอกจากนั้นกรณีที่ใช้ Workstation ประเภท Diskless Workstation User จะไม่มีสิทธิ์ในการใช้งานแผ่น Disk เลย ทำให้สามารถขจัดปัญหาของ Virus ที่สามารถจะแพร่ระบาดอยู่ได้ รวมทั้งการตรวจสอบ Virus ก็ไม่จำเป็นต้องไปตรวจสอบที่เครื่องคอมพิวเตอร์ (PC)แต่ละเครื่อง แต่ตรวจสอบที่ File Sever เพียงเครื่องเดียว ทำให้ประหยัดเวลา และการทำงานที่คล่องตัว มากขึ้น สำหรับเครื่อง License หรือลิขสิทธิ์นั้น Software ที่จะนำมาใช้งานบนระบบ Network จะต้องเป็น Software รุ่น Netware เท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันมี License Software สำหรับระบบ Network อยู่ 2 แบบคือ

1. concurrent User License หมายถึง Software ที่ระบุจำนวน User ที่สามารถใช้งานได้สูงสุดบนระบบ Network เช่น แบบ 20 Copy นั่นหมายถึง User สามารถใช้งาน Software ตัวนี้สามารถใช้งานได้พร้อมกัน 20 คน

2. Per User License หมายถึง Software ที่จะต้องระบุจำนวน User ลงไปเลยว่าต้องการใช้เท่าใดแต่ในการทำงานจริงๆแล้วจะใช้กี่คนพร้อมกันก็ได้
Share Data ปัญหาที่เกิดขึ้นแน่นอน สำหรับการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) แยกกันก็คือ ในกรณีที่เราต้องการข้อมูลของคอมพิวเตอร์ (PC) เครื่องหนึ่ง จะต้อง Copy ลงในแผ่น Disk แล้วนำไปเรียกใช้จากเครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) อีกเครื่องหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าข้อมูลนั้นมีขนาดใหญ่หรือต้องการข้อมูลร่วมกันบ่อย ๆ จะทำให้เสียเวลาในการ Copy ข้อมูลมาก ถ้านำระบบ Network มาใช้งานข้อมูล User แต่ละคนจะถูกเก็บไว้ในที่เดียวกันก็คือ Harddisk ของ File Server ดังนั้น User แต่ละคนจะสามารถใช้ข้อมูลซึ่งกันและกันได้ทันที แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการกำหนดสิทธิ์ในการเรียกใช้ข้อมูลของแต่ละ User ซึ่งจะสามารถกำหนดไว้ว่า User คนใดจะสามารถใช้งานข้อมูลได้ถึงระดับใดบ้าง
จากประโยชน์การใช้ Software ร่วมกันนี้ข้อมูลจะถูกเก็บอยู่ที่ File Server ข้อมูลจึงถูกต้อง ทันสมัยและรวดเร็ว เป็นการควบคุมข้อมูลที่จุดศูนย์กลาง โดยแต่ละ Workstation สามารถใช้ข้อมูลของ Workstation อื่นใดทันทีถ้ามีสิทธิ์ โดยไม่ต้องรีรอจึงทำให้การทำงานสะดวกขึ้น (Flexible ) นอกจากนั้นยังลดขั้นตอนในการปฏิบัติงานและลดเวลาในการทำงาน คือ แทนที่จะต้องเสียเวลาในการรอข้อมูลซึ่งกันและกันเพื่อที่จะทำงานต่อไป ก็ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาและลดความผิดพลาดที่เกิดจากข้อมูลไม่ถูกต้องทันสมัย

3. การเชื่อมต่อกับระบบอื่น
ในการระบบงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) เมื่อต้องการนำเครื่องคอมพิวเตอร์ (PC)มาเชื่อมต่อกับระบบอื่น เช่น Mainframe หรือ Computer จะต้องมีอุปกรณ์เชื่อมต่อพิเศษเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) นั้นสามารถทำงานร่วมกับระบบอื่นได้ จะเรียกขบวนการนี้ว่า Terminal Emulation ปัญหาก็คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) 1 เครื่องจะต้องมีอุปกรณ์ พิเศษต่อเชื่อม 1 ชุด ซึ่งปกติจะมีราคาสูงมาก เมื่อมีการทำงานที่มากขึ้น การต่อเชื่อมกันกับเครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) เพียง 1 ชุด อาจไม่เพียงพอในการใช้งาน อาจจำเป็นต้องต่อมากยิ่งขึ้น ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากขึ้น

แต่ถ้ามีระบบ Network อยู่แล้ว สามารถที่จะนำ เครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) และอุปกรณ์เชื่อมต่อสำหรับระบบอื่น เพียง 1 ชุด หลังจากนั้น Workstation เครื่องอื่นที่ไม่มีอุปกรณ์ต่อเชื่อมนี้ก็สามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่นได้ด้วย เสมือนมี อุปกรณ์เชื่อมต่อติดตั้งทีเครื่องของตนเอง ลักษณะนี้เรียกว่า Gateway

4. การใช้ระบบ Multiusers
การใช้ระบบ Multiusers หมายถึง ระบบที่ User สามารถใช้โปรแกรมหรือข้อมูลเดียวกัน ได้ครั้งละหลาย ๆ คน ซึ่งNetwork นั้นสามารถใช้งานระบบนี้ได้เป็นอย่างดี ทำให้ในปัจจุบันผู้ใช้งานในระบบ Mainframe หรือ Mini Computers หันให้มาเล็งเห็นความสำคัญของระบบ Mainframe และเริ่มใช้งานระบบนี้มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนของการทำงานในระบบ Multiusers คือ
E-mail (Electronic Mail) ซึ่ง User แต่ละคนสามารถสั่งและรับข้อมูลหรือข่าวสารซึ่งกันและกันได้ โดยผ่านทาง Workstation ของตนเอง มีโปรแกรมที่ใช้งานแบบ E-mail ได้มากมาย เช่น Word Perfect Office CC mail Microsoft Exchange Outlook เป็นต้น

Schedule หรือ Group Calendar
เป็นโปรแกรมที่รวบรวมปฏิทินรายวันของ User แต่ละคนมารวมกันเป็นตาราง (Schedule) ของทั้งระบบ ทำให้ผู้จัดการระบบสามารถทราบนัดหมายต่าง ๆ ของ User แต่ละคนได้ และวางแผนการได้สะดวกยิ่งขึ้น เช่น WordPerfect Office

Database สามารถใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลเดียวกันได้พร้อม ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน File Server ได้ถูกพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น จนมี File Server เฉพาะสำหรับงาน Database เรียกว่า Database server ซึ่งเป็น server ชนิดพิเศษ ที่มีความเร็วสูงในการเรียกใช้และปรับปรุงข้อมูลใน Database จึงมีผู้กล่าวว่าประสิทธิภาพในการทำงาน ของ Database Server นี้ใกล้เคียงหรืออาจจะดีกว่าแบบ Mini Computer เสียอีก
ดังนั้นการจะนำระบบ Network มาใช้งานในองค์กรนั้น จึงควรพิจารณาถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้ด้วย ถึงแม้จะประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของ Hardware เนื่องจากสามารถนำอุปกรณ์บางอย่างมาใช้งานร่วมกันได้ก็จริงอยู่ แต่ตอนลงทุน ในการเริ่มต้นก็สูงเช่นกันทั้งนี้เนื่องจากเราต้องซื้อ Server ที่มีประสิทธิภาพรวมทั้งอุปกรณ์การติดตั้งอื่น ๆ อีกหลายอย่าง ดังนั้นผู้ที่จะตัดสินใจนำระบบ Network มาใช้งานจึงควรพิจารณาให้ถี่ถ้วน ทั้งนี้อาจอาศัยรายละเอียดต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น รวมทั้งนโยบายขององค์กรและงบประมาณการเงินอีกด้วย

ระบบเครือข่ายในบริเวณเฉพาะที่ คือ
เครือข่ายเฉพาะที่ (Local Area Network : LAN)
เป็นเครือข่ายระยะใกล้ ที่ใช้กันอยู่ในบริเวณไม่กว้างนัก มักพบเห็นกัน ในองค์กรเดียวกัน
โดยส่วนใหญ่ลักษณะของการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นวง LAN จะอยู่ในพื้นที่ใกล้ ๆ กัน เช่น อยู่ภาย
อาคารเดียวกัน ภายในตึกเดียวกัน เป็นต้น

ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตหมายความว่า
อินเทอร์เน็ต คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่เป็นเครือข่ายใหญ่ และเครือข่ายย่อย จำนวนมากเชื่อมต่อกัน เป็นจำนวนหลายร้อยล้านเครื่อง ซึ่งใช้ในการติดต่อสื่อสารข้อมูลที่เป็นรูปภาพ ข้อความ และเสียง โดยผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่มีผู้ใช้งานกระจายอยู่ทั่วโลก

ประเภทของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์มี 6 ประเภท
1.เครือข่ายคอมพิวเตอร์เฉพาะที่หรือแลน (Local area network : LAN
2.เครือข่ายนครหลวงหรือแมน (Metropolition area network : MAN)
3.เครือข่ายบริเวรกว้างหรือแวน (Wide area network : WAN)
4.เครือข่ายภายในองค์กรหรืออินทราเน็ต (Intranet)
5.เครือข่ายภายนอกองค์กรหรือเอกซ์ทราเน็ต (Extranet)
6.เครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet)

รูปแบบการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์
รูปแบบการเชื่อมโยงเครือข่าย หรือ โทโปโลยี ( LAN Topology )
รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่าย ( Topologies )

รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่ายหรือมักเรียกสั้น ๆ ว่า โทโพโลยี เป็นลักษณะทั่วไปที่กล่าวถึงการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทางกายภาพว่ามีรูปแบบหน้าตาอย่างไร เพื่อให้สามารถสื่อสารร่วมกันได้และด้วยเทคโนโลยีเครือข่ายท้องถิ่นจะมีรูปแบบของโทโพโลยีหลายแบบด้วยกัน ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจแต่ละโทโพโลยีว่ามีความคล้ายคลึง หรือแตกต่างกันอย่างไร รวมถึงข้อดีและข้อเสียของแต่ละโทโพโลยี และโดยปกติโทโพโลยีที่นิยมใช้กันบนเครือข่ายท้องถิ่นจะมีอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน คือ

•โทโพโลยีแบบบัส
•โทโพโลยีแบบดาว
•โทโพโลยีแบบวงแหวน
• โทโปโลยีแบบบัส การเชื่อมต่อรูปแบบนี้นะครับก็คือ คอมพิวเตอร์จะถูกเชื่อมต่อกัน โดยผ่านสายสัญญาณแกนหลัก หรือที่เรียกว่า บัส ( BUS ) นี่เองครับ คือสายรับส่งสัญญาณข้อมูลหลักใช้เป็นทางเดินของข้อมูลของทุกเครื่องภายในเครือข่ายและ จะมีสายแยกย่อยออกไปในแต่ละจุดด้วยครับ เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์เข้ากับเครื่องอื่นๆ ด้วยครับ ซึ่งเราเรียกว่า โหนด ( Node) นี่เองครับซึ่งข้อมูลจากโหนดผู้ส่งนี้นะครับจะถูกส่งเข้าสู่สายบัสในรูปของแพ็กเกจนะครับ ซึ่งแต่ละแพ็กเกจนี้นะครับก็จะประกอบด้วยข้อมูลของผู้ส่ง,ผู้รับ และข้อมูลที่จะส่งครับ การสื่อสารภายในบัสนี้นะครับจะเป็นแบบ 2 ทิศทางครับ โดยแยกไปยังปลายทั้ง 2 ด้านของบัส ครับโดยปลายทั้ง 2 ด้านนี้นะครับจะมี โทมิเนตอร์ ( Teerminator) ซึ่งจะทำหน้าที่ลบล้างสัญญาณที่ส่งถึงเพื่อไม่ให้สัญญาณนั้นสะท้อนกลับครับ เพื่อเป็นการป้องกันข้อมูลอื่นๆ ที่เดินทางอยู่บนบัสด้วยครับ และขณะนั้นนะครับสัญญาณข้อมูลจากโหนดผู้ส่งเมื่อเข้าสู่บัสแล้วนะครับ ข้อมูลก็จะไหลผ่านไปยังปลายทั้ง 2 ด้านของบัสครับ แต่ละโหนดที่เชื่อมต่อเข้ากับบัสนี้นะครับก็จะตรวจดูว่าตำแหน่งปลายทาง ที่มากับแพ็กเกจข้อมูลนั้นตรงกับตำแหน่งของตนหรือไม่ ถ้าตรงก็จะรับข้อมูลนั้นเข้ามาสู่โหนดของตนครับ แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่นะครับก็จะปล่อยให้สัญญาณนั้นผ่านไปครับ
ข้อดีของการเชื่อมต่อแบบบัส ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการวงสายสัญญาณมากนัก เพราะว่าขยายระบบได้ง่าย ไม่ต้องใช้เทคนิคที่ยุ่งยากซับซ้อนครับ
ข้อเสียของการเชื่อมต่อแบบบัส อาจเกิดความผิดพลาดได้ง่าย เพราะว่าจะใช้สายสัญญาณเพียงสายเดียวในการต่อ และถ้าหากสายขาดที่ใดที่หนึ่งก็จะทำให้บางเครื่องหรือทั้งระบบไม่สามารถทำงานได้เลยครับ

• โทโปโลยีแบบวงแหวน การเชื่อมต่อแบบนี้นะครับเป็นรูปแบบที่คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบเครือข่ายนี้นะครับ จะถูกเชื่อมต่อกันเป็นวงกลมและข้อมูลก็จะไหลเวียนไปในทิศทางเดียวกันครับ ในแต่ละเครื่องนี้นะครับก็จะมี รีพิตเตอร์ ( Repeater) ประจำอยู่เครื่องล่ะ 1 ตัว ครับ เพื่อจะทำหน้าที่เพิ่มเติมข้อมูลที่จำเป็นในการติดต่อสื่อสารเข้ามาที่ส่วนหัวของแพ็กเกจที่ส่ง และก็ทำการตรวจสอบว่าส่วนหัวของแพ็กเกจที่มาถึงนั้นเป็นข้อมูลของตนหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนั้นไปครับ
ข้อดีของการเชื่อมต่อแบบวงแหวน การส่งข้อมูลนั้นนะครับจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันครับ จะไม่มีการชนการของข้อมูลและคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องก็สามารถส่งข้อมูลได้เท่าเทียมกันด้วยครับ
ข้อเสียของการเชื่อมต่อแบบวงแหวน ถ้าหากว่ามีเครื่องใดเครื่องหนึ่งเสียหาก การส่งผ่านข้อมูลนั้นนะครับก็จะไม่สามารถทำได้เลย

• โทโปโลยีแบบดาว การเชื่อมต่อแบบนี้นะครับจะเป็นการที่เครื่องคอมพิวเตอร์ ทุกเครื่องเชื่อมต่อกันโดยผ่านอุปกรณ์ตัวหนึ่งที่เป็น ตัวกลางของการเชื่อมต่อตัวเดียวกัน ซึ่งเรียกว่า ฮับ ( HUB ) หรือเครื่องๆ หนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์ในการเชื่อมต่อภายในเครือข่ายนะครับ และก็ทำการควบคุมเส้นการสื่อสารทั้งหมดด้วยครับ เมื่อมีเครื่องที่ต้องการส่งข้อมูลไปยังเครื่องอื่นๆ ก็จะทำหน้าที่ส่งข้อมูลนั้นไปยังศูนย์กลางก่อนนะครับ และค่อยทำการกระจายข้อมูลนั้นต่อไปครับ
ข้อดีของการเชื่อมต่อแบบดาว การติดตั้งและดูแลรักษานี้นะครับจะทำได้ง่ายครับ และมีเครื่องใดเครื่องหนึ่งเสียหายก็สามารถตรวจสอบได้ง่ายครับ แล้วศูนย์กลางก็ยังสามารถตัดเครื่องที่เสียหายออกจากเครือข่าย ได้โดยที่ไม่มีผลกระทบต่อเครือข่ายอีกด้วยครับ
ข้อเสียของการเชื่อมต่อแบบดาว ใช้ค่าใช้จ่ายสูง และการขยายระบบทำได้ยาก เพราะจะเกี่ยวเนื่องกับทุกเครื่องบนเครือข่าย

โทโปโลยีแบบ Hybrid การเชื่อมต่อในรูปแบบนี้นะครับเป็นรูปแบบใหม่ของ การเชื่อมต่อนะครับเพราะเกิดจากการผสมผสาน ระหว่างการเชื่อมต่อ แบบบัส แบบวงแหวง และแบบดาว ครับ และเพิ่มข้อดีของการเชื่อมต่อขึ้นมานะครับ ซึ่งการเชื่อมต่อแบบส่วนมากใช้ในการเชื่อมต่อแบบ WAN ครับ

• โทโปโลยีแบบ MESH การเชื่อมต่อในรูปแบบนี้นะครับเป็นการเชื่อมต่อ ที่สามารถป้องกันความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับระบบได้ดีที่สุดครับ ในการเชื่อมต่อนั้นนะครับคือทุกเครื่องที่อยู่ในเครือข่ายจะต้องมีสายเชื่อมต่อเข้าหากันกับทุกๆ เครื่องจึงทำให้ยุ่งยากในการเดินสายจึงไม่ค่อยนิยมใช้กันครับ